1. เลือกที่มีแดดมาก
แน่นอนว่าพืชผักสวนครัวของคุณจะเติบโตแข็งแรงได้เต็มที่
ก็ต่อเมื่อได้รับแสงแดดมากพอเท่านั้น
เพราะฉะนั้นก่อนจะปลูกก็ควรสังเกตดูว่าแสงแดดมักผ่านเข้ามาทางไหน
เพื่อให้ผักของคุณได้รับแสงแดดเต็มที่ทุกฤดู
แม้ในช่วงหน้าฝนหรือหน้าหนาวนั่นเอง
2. กะระยะห่างพอสมควร
ผักผลไม้แต่ละชนิดต้องการพื้นที่ในการเติบโตแตกต่างกันออกไป เช่น
มะเขือเทศควรเว้นระยะห่าง ราว 60 เซนติเมตร
ในขณะที่ฟักทองต้องการพื้นที่ประมาณ 120 เซนติเมตร
ส่วนผักกะหล่ำนั้นสามารถปลูกในแปลงต่อกันได้เลย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นควรคำนวณดูก่อนว่าคุณมีพื้นที่ปลูกผักประมาณเท่าไหร่
แล้วลองกะระยะดูว่าพื้นที่ที่มีอยู่เหมาะจะปลูกอะไรได้บ้าง
ผักของคุณจะได้เติบโตงอกงามได้เต็มที่
3. เลือกปลูกตามฤดูกาล
สภาพอากาศก็เป็นอีกสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
เพราะพืชแต่ละชนิดโตได้ดีในอากาศที่ต่างกัน เช่น
พืชที่เหมาะกับอากาศหนาวเย็น ได้แก่ บร็อคโคลี่ ผักกะหล่ำ แครอท ผักกาดขาว
มันฝรั่ง หัวไชเท้า และผักโขม ในขณะที่พืชจำพวกข้าวโพด แตงกวา มะเขือม่วง
พริกไท ฟักทอง และมะเขือเทศจะโตได้ดีในอากาศอบอุ่น
เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะปลูกพืชหมุนเวียน ก็ควรศึกษาให้ดีก่อนปลูกด้วย
4. เตรียมแปลงปลูกให้เรียบร้อย
เพื่อให้แปลงผักสวนครัวของคุณพร้อมเต็มที่
คุณก็ควรใส่ปุ๋ยพรวนดินไว้ก่อนที่จะซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก
จะได้ช่วยให้ดินของคุณผสมกับปุ๋ยจนอยู่ตัวพร้อมจะหว่านเมล็ดได้ทันที
อย่างไรก็ดี ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 3 วันนะคะ ไม่อย่างนั้นสารอาหารต่าง ๆ
ในปุ๋ยอาจเสื่อมสภาพลงไปซะก่อน
นอกจากนี้ก่อนจะเริ่มปลูกก็ควรศึกษาวิธีปลูกสำหรับผักแต่ละชนิดให้ดีด้วย
เหมือนกัน เพราะพืชแต่ละชนิดอาจมีวิธีปลูกแตกต่างกันไป
5. ความสดใหม่ก็สำคัญ
แน่นอนว่าเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งเก็บมาสด ๆ นั้น
ย่อมแข็งแรงเติบโตได้ดีกว่าแบบที่เก็บนานจนเก่าอยู่แล้ว
ดังนั้นเพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่สดใหม่แข็งแรงมาปลูก
ก็ควรอ่านฉลากด้านข้างหรือสอบถามเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อ
เพื่อให้ได้ของใหม่ด้วย
หรืออาจถือโอกาสเริ่มต้นซื้อหลังปีใหม่เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งนำออก
ขายต้นปีไปเลยก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี
เพื่อให้การทำสวนสนุกมากขึ้น อาจชวนลูก ๆ มาช่วยกันปลูก
เพื่อจะได้มีกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน
และสนับสนุนให้เขากินผักฝีมือตัวเองไปในดัวด้วยก็ได้นะคะ