1. สีไม่ตรงกับที่คิดไว้  

         เวลาที่ไปซื้อสีทาบ้านทางร้านมักจะมีตารางเทียบสีมาให้เลือก แต่ในบางครั้งเมื่อนำสีมาทาบ้านแล้วสีกลับไม่เหมือนในตารางที่เลือกไว้ นั่นก็เป็นเพราะว่าแสงไฟที่ร้านกับที่บ้านนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสีมาทาควรขอสีตัวอย่างกลับมาทาพื้นที่ก่อน ถ้าสีโดนแสงแล้วไม่ถูกใจจะได้เปลี่ยนสีใหม่ทันเวลาก่อนทาไปแล้วแต่ต้องมานั่งเซ็งภายหลัง 

2. เปิดฝาถังสีทิ้งไว้ 

         เพื่อความสะดวกหลายคนชอบเปิดฝาถังสีไว้ โดยลืมคิดไปว่าอาจจมีอุบัติเหตุที่ทำให้ถังล้มจนสีหกกระจายเต็มพื้น ฉะนั้นวิธีป้องกันคือควรปิดฝาถังสีทุกครั้งแม้ในระหว่างทำงาน เผื่อไว้ถ้าเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดสีจะได้ไม่เลอะพื้น โดยเฉพาะบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงควรกันไว้ให้ห่าง ไม่อย่างนั้นบ้านของคุณอาจจะเต็มไปด้วยรอยประทับจากเจ้าตูบ
3. ใช้ลูกกลิ้งทาผนังติดกับเพดาน

         สำหรับคนที่ใช้ลูกกลิ้งทาสีก็อาจจะกลิ้งจนลืมดูว่าสูงเกินไป จนทำให้สีจากลูกกลิ้งติดเพดานโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นก่อนทาควรหาเทปกาวติดเพดานกันสีเลอะเอาไว้ก่อนทา หรือทาสีเฉพาะส่วนกลางผนังก่อน แล้วค่อยใช้แปรงหรือลูกกลิ้งทาสีผนังบริเวณที่ติดกับเพดานในแนวขวาง ก็จะทำให้งานออกมาเนี้ยบโดยไม่ต้องตามแก้ทีหลัง 

4. ทาสีซ้ำหลายรอบเกินไป 

         ในการทาสีเฟอร์นิเจอร์ไม้ ประตู หรือตู้ ควรทาสีเพียงรอบเดียว แล้วค่อยทาสีย้ำเฉพาะพื้นที่ที่ยังไม่โดนสีก็พอ และการทาในส่วนเล็ก ๆ แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจุ่มสีเพิ่มหากมีสีเดิมค้างอยู่ที่ขนแปรง ส่วนในกรณีที่จำเป็นต้องทาซ้ำควรรอบให้สีรอบแรกแห้งสนิทเสียก่อนแล้วค่อยลงสีเพิ่ม เพราะหากทำในขณะที่สีรอบแรกยังไม่แห้งดีจะทำให้เนื้อสีไม่เรียบ

5. เก็บสีไว้ในที่เย็น

         อุณหภูมิก็มีผลกับเนื้อสีเช่นกัน เช่น อากาศเย็นจะทำให้สีจับกันเป็นก้อน ดังนั้นหลังการใช้งานจึงควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ และไม่ทาสีในวันที่อากาศเย็นเพราะความชื้นในอากาศจะทำให้สีแห้งยาก ในทางกลับกันหากทาสีในวันที่อากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้สีแห้งเร็วจนอาจเกิดคราบและเกิดฟองอากาศ 

6. ไม่ลอกสีเคลือบเงาก่อน

         บางคนอาจคิดว่าซื้อสีมาแล้วสามารถทาได้เลย สุดท้ายสีก็หลุดออกมาเป็นแผ่น ๆ จนต้องทาใหม่ ฉะนั้นจึงควรลอกสีเคลือบเงาโดยการขูดหรือใช้กระดาษทรายขัดออกก่อน หรือถ้าจะให้ดีก็ใช้น้ำยาลอกสีเคลือบผนังโดยเฉพาะ เพื่อให้สีที่ทาใหม่ติดแน่นทนนานไม่ต้องทาซ้ำบ่อย ๆ 
7. ทาสีในที่สลัวหรือแสงน้อย

         การทาสีตอนเย็นหรือมีแสงน้อยนั้นถือว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ไม่เห็นความผิดพลาดและรอยต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรเปิดหน้าต่างให้ผนังโดนแสงธรรมชาติระหว่างการทำงาน เพื่อให้เห็นเนื้อสีที่แท้จริงเห็นรอยตำหนิอย่างชัดเจน

8. เลือกสีไม่เหมาะกับพื้นที่

         ไม่ว่าฝีมือการทาสีของคุณหรือของช่างจะเทพขนาดไหน แต่ถ้าเลือกสีผิดผนังบ้านก็จะดูไม่น่ามองอยู่ดี ฉะนั้นหลีกเลี่ยงการใช้สีสะท้อนแสงหรือสีที่มีสารเคลือบเงากับบริเวณที่มีพื้นผิวไม่เรียบ เพราะจะยิ่งเป็นการเน้นให้ส่วนที่มีรอยตำหนิชัดขึ้น หรือถ้าสีใหม่ที่จะทานั้นเข้มกว่าสีเก่าให้ทาสีรองพื้นก่อน แต่หากไม่ควรทาสีเคลือบเงาทับผนังที่ทาสีเคลือบเงาไว้ก่อนหน้านี้ เพราะจะทำให้สีเพี้ยนและพังมาก 

9. ลงสีทาไม้โดยไม่ผสมทินเนอร์

         ถ้าเป็นการทาสีผนังธรรมดานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทินเนอร์ก็ได้ แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้และตู้ต่าง ๆ จำเป็นต้องผสมทินเนอร์กับสีก่อนทา เพื่อลดความหนืดของเนื้อสี และทำให้สีทาง่ายและเรียบเนียนยิ่งขึ้น 
10. ไม่ใช้สีกันคราบและความชื้น

         รอยด่างดำที่เกิดจากความชื้น อย่างเช่น คราบเชื้อรา ช่างเกะกะสายตาเสียจริง ๆ หลายคนเลยตัดสินใจทาสีใหม่เพื่อกลบคราบสกปรกที่แก้ไม่หาย แต่หากไม่แก้ที่ต้นเหตุสักวันก็เจอปัญหาแบบนี้อีกอยู่ดี โดยเฉพาะไม้ซึ่งเป็นวัสดุที่ไวต่อความชื้น ฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรทาสีกันคราบและความชื้นรองพื้นก่อนที่จะทาสีจริง         

11. ไม่ติดเทปตามขอบประตูและหน้าต่าง

         การทาสีบริเวณตามขอบประตูและหน้าต่างนั้นต้องใช้ความระวังมากกว่าพื้นที่อื่น เพราะหากเผลออาจทำให้สีเลอะส่วนที่ไม่ต้องการจะทาได้ แถมบางพื้นที่อาจจะแก้ยากอีกต่างหาก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สีเปื้อนบริเวณอื่น ควรหาเทปกาวมาติดก่อนและลอกเทปหลังจากสีแห้ง จะได้ไม่ต้องปวดหัวเรื่องสีเปื้อนอีก

12. จุ่มแปรงลงถังสีทั้งอัน

         หลาย ๆ คนติดนิสัยชอบจุ่มขนแปรงลงถังสีทั้งหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วการทาสีใช้แค่ส่วนปลายขนแปรงเท่านั้น แถมการทำแบบนี้ยังทำให้สีเลอะบริเวณรอบข้างอีกต่างหาก ฉะนั้นจุ่มสีแค่ส่วนปลายจนถึงกึ่งกลางก็พอ จะได้ไม่เปลืองสีโดยเปล่าประโยชน์ด้วย 

ขอบคุณข้อมูลจาก:http://home.kapook.com/